#แนวคิดด้านการลงทุน

แนวคิดการลงทุน - กองทุน "Active" vs. "Passive" แบบไหนดีกว่ากัน ?

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
205 views

 

กองทุนรวมหุ้นส่วนใหญ่มี 2 ชนิด คือ กองทุนแบบ Active ที่ผู้จัดการกองทุนต้องใช้ความสามารถในการคัดเลือกหุ้นเพื่อที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนสูงที่สุดให้กับกองทุน อีกชนิดหนึ่งคือ กองทุนแบบ Passive  หรือเป็นลักษณะของการที่กองทุนนั้นเข้าไปซื้อดัชนีทั้งดัชนีดังนั้นกองทุนชนิดนี้จะให้ผลตอบแทนตามดัชนี คือถ้าดัชนีทั้งหมดขึ้นช่วงที่นักลงทุนถือหน่วยลงทุนนักลงทุนก็จะได้กำไร ในทางตรงกันข้าม หากนักลงทุนถือหน่วยลงทุนในช่วงที่ดัชนีหุ้นตกลง นักลงทุนก็จะขาดทุนตามไปด้วย

 

เชื่อว่านักลงทุนหลายท่านหากจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นแล้วส่วนใหญ่มักจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่เป็นแบบ Active เพราะมีความเชื่อว่าหากมีผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นอย่างดีแล้วผลตอบแทนก็ควรจะดีกว่าการปล่อยให้ผลตอบแทนขึ้นกับดัชนีเพียงอย่างเดียว

 

ความเชื่อนี้ได้รับการพิสูจน์ผ่านบทวิจัยจาก University of Chicago ว่าความโชคดีหรือทักษะที่ทำให้กองทุนมีผลตอบแทนที่แตกต่างกัน แต่ต้องแจ้งก่อนว่างานวิจัยนี้อ้างอิงกองทุนรวมในอเมริกาเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่ตรงกับกองทุนรวมในประเทศไทยซะทีเดียว

 

 

จากการวิจัย พอร์ตกองทุนรวมหุ้นแบบ Active ในภาพรวมแล้วให้ผลตอบแทนใกล้เคียง พอร์ตแบบ Passive ซึ่งขัดกับความเชื่อข้างต้นอย่างสิ้นเชิง แต่เนื่องจากค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนที่สูงทำให้สุทธิแล้วให้ผลตอบแทนที่ได้ต่ำกว่าแบบ Passive  จากการเก็บข้อมูลพบว่ามีเพียงไม่กี่กองทุนเท่านั้นที่สามารถทำกำไรได้เพียงพอ/เกินจากค่าธรรมเนียมเล็กน้อย

 

มีข้อจำกัดเกี่ยวกับผลตอบแทนการลงทุนที่เรียกว่า บัญชีดุลยภาพ (equilibrium account) เมื่อมีการวัดผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ปรากฏว่า นักลงทุนประเภทนี้จะกำไรเมื่อกองทุนมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายแต่หากกองทุนนั้นมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ นักลงทุนก็มีโอกาสขาดทุนเช่นกัน

 

 

ในภาพรวมแล้วกองทุนรวมที่สามารถทำกำไรได้ กับ กองทุนรวมที่ทำกำไรไม่ได้ เมื่อเฉลี่ยรวมกันแล้วจะมีผลตอบแทนใกล้กับตลาดฯ/กองทุนแบบ Passive  แต่ความท้าทาย คือ การแยกระหว่างทักษะกับความโชคดี เมื่อกองทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นหลายกองทุนมีผลตอบแทนที่มากขึ้นโดยบังเอิญ

 

ดังนั้นการทดสอบสมมุติฐานนี้ ผู้วิจัยได้ทดสอบความคงอยู่ของผลตอบแทนกองทุนว่า ผู้ชนะในอดีตจะยังคงให้ผลตอบแทนสูงต่อไปได้หรือไม่ แต่การทดสอบความคงทนมีจุดอ่อน คือ ใช้วิธีการจัดอันดับเงินทุนจากผลดำเนินงานที่ผ่านมาในระยะสั้น จึงมีหลักฐานน้อยเกินไป จากการที่ผู้ชนะก็จะได้รับเงินเพิ่มเข้ามาเพิ่มในกองทุน ส่วนผู้แพ้ก็จะถูกนำเงินออกไป แต่จากการใช้ผลตอบแทนแต่ละกองทุนในระยะยาว พบว่า มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ไม่กี่แห่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าหรือเท่ากับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ (expected return)

 

ปัญหาในการทดสอบเกี่ยวกับผลตอบแทนของกองทุนรวม คือ บางกองทุนไม่รายงานต้นทุนการซื้อขาย ทำให้มีข้อผิดพลาดจากการประมาณการ เพราะค่าใช้จ่ายส่วนนี้มีแนวโน้มแตกต่างกันไปตามทักษะการเทรดและขอบเขตการลงทุนของกองทุน

 

 

 

ผลสรุปจากการวิจัย สำหรับปี ค.ศ. 1984 – 2006  จากฐานข้อมูลกองทุนรวมจะได้รับผลตอบแทนสุทธิที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเกณฑ์ CAPM และจากการสำรวจกองทุนส่วนบุคคล 3,156  กองทุน พบว่าบางกองทุนทำได้ดีเป็นพิเศษขณะเดียวกันกองทุนจำนวนมากก็ขาดทุน เช่นกัน  ทำให้ผลตอบแทนสุทธิมีเพียงไม่กี่กองทุนเท่านั้นที่ทำได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายโดยใช้วิธีการเปรียบเทียบแจกแจงค่าประมาณอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจริงกับการแจกแจงตามแบบจำลอง bootstrap ซึ่งให้ผลรวมของผลตอบแทนทั้งกองทุนที่กำไรและกองทุนที่ขาดทุนรวมกันแล้วได้ศูนย์  

 

ดังนั้นผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้วการลงทุนกองทุนแบบ Passive  ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแบบ Active

 

- Yoo -

อ้างอิง : บทวิจัย  Luck versus Skill in the cross section of mutual fund returns

ผู้วิจัย  : Eugene F. Fama - University of Chicago , Kenneth R. French - Tuck school of Business


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง