ขณะที่รัฐบาลดีใจกับแนวโน้มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น พร้อมกับที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีปีนี้มาอยู่ที่ 3.6% แต่เกิดคำถามมากมายว่า ทำไมประชาชนระดับฐานรากของประเทศถึงไม่รู้สึกเช่นนั้น แต่กลับรู้สึกว่ากำลังซื้อในประเทศที่เหือดแห้งลง
พ่อค้าแม่ค้ามีปัญหาขายสินค้าได้น้อยลง ยอดขายของภาคธุรกิจในไตรมาสที่ผ่านมาก็ซบเซามากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน..
หนึ่งในดัชนีสำคัญที่สามารถสะท้อนถึงกำลังซื้อของคนไทย คือ “ดัชนี 7-11” เพราะต้องยอมรับว่า ปัจจุบันร้านเซเว่นฯเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนไทยส่วนใหญ่ไปแล้ว
จากข้อมูลผลประกอบการบริษัท “ซีพี ออลล์” เจ้าของธุรกิจเซเว่นฯในประเทศไทยระบุว่า ยอดขายเฉลี่ยของร้านเซเว่นฯในไตรมาส 2/60 มีอัตราการเติบโตลดลง 1.0% ด้วยยอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันอยู่ที่ 79,613 บาท ยอดซื้อต่อบิล 67 บาท ลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 1,194 คน
แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน ?
ฟากขุนคลัง “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” ยืนยันว่า ปัญหากำลังซื้อในประเทศที่หดหาย ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งเพราะปัจจุบันคนไทยแห่ไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก และเป็นกลุ่มผู้มีรายได้กลาง-ล่าง เพราะค่าใช้จ่ายในการเที่ยวต่างประเทศถูกลงมาก และถือเป็นค่านิยมหนึ่งของคนไทยในการท่องเที่ยวต่างประเทศ
โดยพบว่าไตรมาส 2/60 ตัวเลขเม็ดเงินที่คนไทยใช้จ่ายไปกับการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 15% นี่คือหนึ่งเหตุผลที่ขุนคลังเชื่อว่า ทำให้กำลังซื้อในประเทศลดลง
และอีกประเด็น เกิดจากที่พฤติกรรมคนไทยหันไปซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น ส่งผล กระทบให้ผู้ประกอบการร้านค้าแบบดั้งเดิมมียอดขายลดลง แม้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็คงมีส่วนอย่างแน่นอน เพราะถ้าพูดถึงกระแสความรุ่งเรืองของอีคอมเมิร์ซ แน่นอนว่าก็มาพร้อมทิศทาง “ขาลง” ของธุรกิจร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม เป็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรป และอเมริกา ที่ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่าง ๆ ทยอยปิดตัว
และล่าสุด ธปท.ได้รายงานธุรกรรมการโอนเงินรายย่อยของคนไทย เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพบว่า มีธุรกรรมโอนเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ 2.04 ล้านรายการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 16.4% คิดเป็นมูลค่า 1.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2% ตัวเลขนี้ก็สะท้อนพฤติกรรมการจับจ่ายของคนไทยที่เปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ขุนคลังเชื่อว่าช่วงปลายปี สถานการณ์กำลังซื้อของกลุ่มรากหญ้าจะกระเตื้องขึ้น เพราะตั้งแต่ 1 ต.ค.นี้ รัฐบาลจะเริ่มส่งผ่านความช่วยเหลือให้ผู้มีรายได้น้อย 11.5 ล้านคน ด้วยเม็ดเงินกว่า 3 หมื่นล้านบาท ผ่านบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย เพื่อใช้จ่ายสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพ และคาดว่าจะทำให้เงินในระบบหมุนเวียนมากขึ้น
ที่มา : https://www.prachachat.net/columns/news-40124