#แนวคิดด้านการลงทุน

Theme ของการลงทุน / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
79 views

การลงทุนระยะยาวหรือ “ระยะกลาง” นั้น  สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ  เราจะต้องมองหา Trend หรือแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้วและจะดำเนินต่อไปอย่างน้อยในระยะเวลาหนึ่งที่เราสามารถเชื่อมั่นได้  จากนั้นเราก็ควรจะสร้างเรื่องราวและแนวความคิดในการลงทุนหลัก 

หรือบางทีเรียกว่าเป็น  “Theme” ของการลงทุน  ว่าเราจะลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนและตัวไหนและด้วยวิธีใดที่จะทำให้หุ้นและพอร์ตลงทุนของเราได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว 

 

การลงทุนแบบนี้ถ้าเราทำได้ถูกต้อง  ผลตอบแทนของเราก็จะดีเลิศ  แต่ถ้าผิดพลาดเราก็อาจจะแย่ได้เหมือนกันเพราะหุ้นจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ของเราอยู่ในกลุ่มของหุ้นที่มีคุณสมบัติและพฤติกรรมคล้าย ๆ  กัน   ดังนั้น  การวิเคราะห์จะต้องละเอียดรอบคอบ 

 

ประเด็นสำคัญก็คือ  เทรนด์นั้นจะต้องไม่พลาด  ในส่วนของหุ้นรายตัวที่เราเลือกนั้น  ถ้าทำได้ถูกต้องก็จะได้ผลตอบแทนยอดเยี่ยม  แต่ถ้าผิดก็คงต้องดูต่อไปว่าบริษัทนั้นเกิด  “หายนะ”  หรือไม่  เพราะในบางอุตสาหกรรมเช่นไฮเท็คนั้น  “ผู้แพ้”  มัก  “ตาย”  แต่ในบางธุรกิจผู้  “ไม่ชนะ” ก็ยังอาจจะอยู่รอดได้  นี่ก็เป็นเรื่องที่เราต้องวิเคราะห์เช่นกัน

 

    Theme ของการลงทุนนั้น  อาจจะมีได้มากมายและไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่องของอุตสาหกรรม  มันอาจจะเป็นแนวความคิดในการเลือกหุ้นลงทุนตามสไตล์ในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ ที่เราเห็นว่ามันน่าจะให้ผลดีอย่างน้อยก็ในระยะเวลาช่วงหนึ่ง 

 

- ตัวอย่างเช่น  ถ้าเราคิดว่าเศรษฐกิจกำลังจะเติบโตขึ้นเร็วกว่าปกติหลังจากซบเซามานาน  เราก็อาจจะเน้นเลือกหุ้นที่โตเร็วเป็นต้น 

 

- ตัวอย่างเช่น  การลงทุนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองของคนที่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะเฟื่องฟู  พวกเขาก็เน้นลงทุนในหุ้น  ส่วนพวกที่คิดว่าหลังสงครามเศรษฐกิจจะแย่เพราะทหารจะตกงานกันมากก็อาจจะมี Theme อีกแบบหนึ่งที่จะถอนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นต้น 

 

แน่นอนอย่างที่เรารู้ในภายหลัง  คนที่เล่น Theme ความเฟื่องฟูหลังสงครามก็รวยไปเพราะเขาคิดถูก  ส่วนคนที่คิดว่าเศรษฐกิจจะแย่ก็พลาดผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมไป

 

    Theme ที่ผมคิดว่าน่าสนใจและมีคนใช้กันในช่วงเวลานี้ในตลาดหุ้นไทยนั้นมีจำนวนมาก  มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง ?

 

Theme แรกก็คือเรื่องของสังคมผู้สูงวัยหรือ  Ageing Economy  เหตุผลก็เพราะว่าโครงสร้างประชากรของไทยเปลี่ยนแปลงไป  เวลานี้เราเป็นประเทศที่อายุของประชากรเฉลี่ยสูงที่สุดหรือเกือบที่สุดในอาเซียน  ดังนั้น  คนบางคนก็เชื่อว่านับจากนี้ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่จะเติบโตดีในระยะกลางหรือยาวก็น่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ 

 

ดังนั้น  เขาก็จะเน้นลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลมากกว่าปกติ  บางทีเขาอาจจะไม่สนใจบริษัทยาซักเท่าไรเพราะเขาอาจจะคิดว่าในประเทศไทย  บริษัทยาไม่ได้มีอำนาจทางการตลาดเท่าไรและก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก เป็นต้น

 

    ต่อจากเรื่องความแก่ก็คือการท่องเที่ยวที่มีการนำมาใช้เป็น Theme ของการลงทุน  อย่างไรก็ตาม  ธุรกิจการท่องเที่ยวนั้นเกี่ยวข้องกับกิจการหลายอย่างรวมถึงโรงแรม  สายการบิน  สนามบิน สินค้าที่ระลึกและอื่น ๆ  ซึ่งบางอย่างก็เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก 

 

ดังนั้น  ราคาหุ้นของกิจการเหล่านั้นก็ผสมผสานมีทั้งที่ดีเยี่ยมเนื่องจากเป็นกิจการที่ผูกขาดไปถึงที่ย่ำแย่เพราะมีการแข่งขันและมีความผันผวนของต้นทุนสูงเช่นการบิน เป็นต้น

 

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็มีคนเล่น Theme ที่ว่าประเทศไทยจะมีการพัฒนาทางด้านของสาธารณูปโภคพื้นฐานมาก  พวกเขาก็เข้าไปเล่นหุ้นรับเหมาก่อสร้าง  บางคนก็ไปเล่นหุ้นที่รับสัมปทานหรือรับอนุญาตให้บริการสาธารณูปโภคที่เกี่ยวกับการสื่อสารเดินทาง  ผลการลงทุนที่เกิดขึ้นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ชัดเท่าไร  เพราะโครงการมีความล่าช้า  บางทีบริษัทมีรายได้เพิ่มแต่กำไรก็ไม่เกิดขึ้น  อาจจะพูดได้ในระดับหนึ่งว่า Theme นี้ใช้ไม่ได้ผลเท่าไรนัก

 

    นักลงทุน VI โดยเฉพาะที่ยังเป็นหนุ่มสาวนั้น  บางคนก็มี Theme ที่เกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยีและ AI หรือปัญญาประดิษฐ์  ดังนั้น  เขาก็ไปลงทุนในตลาดหุ้นของอเมริกาที่เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกไล่ไปตั้งแต่กูเกิล เฟซบุค อเมซอน เทสลา  รวมถึงบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ AI อีกหลาย ๆ บริษัท ซึ่งที่ผ่านมาก็น่าจะประสบความสำเร็จพอสมควรทีเดียว 

 

เหตุเพราะว่าบริษัทเหล่านั้นมีราคาเพิ่มขึ้นมากทั้ง ๆ  ที่ราคาตอนเข้าไปซื้อนั้นหลายคนก็บอกว่าแพงมาก ๆ  หลายบริษัทยังไม่มีกำไรหรือมีน้อยมาก  แต่ก็อย่างที่คนพูดกัน  ใน  “ธุรกิจแห่งอนาคต”  นั้น  PE ไม่มีความหมายต่อความถูกหรือแพงของหุ้น

 

    สำหรับ VI ที่ยังยึดแนวหุ้นถูกอยู่ ซึ่งรวมไปถึง VI สูงอายุและ VI หนุ่มสาวที่อาจจะ “พลาดยุคทองของ VI” ในตลาดหุ้นไทยในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา  พวกเขาเริ่มสนใจ Theme ของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนาที่เริ่มโตเร็วและเร็วกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศไทย  

 

พวกเขาเริ่มไปลงทุนในประเทศอย่างเวียตนามและอินเดีย  บางคนที่ยังไม่พร้อมที่จะเข้าไปศึกษาก็เริ่มลงทุนกับกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดหุ้นเหล่านั้น  พวกเขาหวังว่าจะทำให้เขามีโอกาส “รวย”  แบบเดียวกับคนที่เคยรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อน

 

    โดยส่วนตัวผมเองนั้น  ย้อนหลังไปกว่า 10 ปี ผมก็ลงทุนตาม Theme ของการเติบโตของ Modern Trade เพราะผมเชื่อว่าคนไทยเริ่มมีรายได้ถึงจุดที่ต้องการซื้อสินค้าจากห้างค้าปลีกสมัยใหม่แทนที่ห้างค้าปลีกดั้งเดิม  ผมซื้อหุ้นค้าปลีกหลายตัวที่ประสบความสำเร็จหรือเป็น “ผู้ชนะ” แล้วในราคาที่ไม่แพงและถือยาวมานับสิบปี 

 

บางตัวผมก็ยังถืออยู่  ผมคิดถูกและได้ผลตอบแทนที่ดีมาก  ในช่วงเวลาอันยาวนานนั้น  ผมแทบไม่ได้เล่น Theme อย่างอื่นเลย  ส่วนหนึ่งเนื่องจากไม่มีเงินสดเหลือที่จะลงทุน  จนกระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ผมเริ่มขายหุ้นและมีเงินสดเพิ่มขึ้นมากและจำเป็นที่จะต้องหาหนทางลงทุนใหม่ที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก

 

    เงินก้อนแรก  ประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของพอร์ตโดยรวม   ถูกนำไปลงทุนที่เวียตนาม โดยที่ Theme ของผมก็คือการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของเวียตนาม นอกเหนือจากการ  “กระจายความเสี่ยง”  ของเงินลงทุนไปยังต่างประเทศ  ผมเองยังไม่สามารถพูดได้ว่าประสบความสำเร็จจาก Theme นี้เนื่องจากผลตอบแทนที่ผ่านมา 2-3 ปี นั้นอยู่ในระดับกลาง ๆ  เท่านั้น 

 

อย่างไรก็ตามความคิดที่ว่าเศรษฐกิจเวียตนามจะโตเร็วและตลาดหุ้นเวียตนามจะให้ผลตอบแทนสูงนั้นถูกต้อง  เพียงแต่กลยุทธ์ที่ผมใช้นั้นยังไม่ประสบความสำเร็จ  ผมคงต้องรอต่อไป  ว่าที่จริงผมตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าการลงทุนที่เวียตนามของผมนั้น  อย่างน้อยต้องอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ปีก่อนที่จะคิดขาย

 

    เงินสดก้อนที่สอง  ประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของพอร์ตโดยรวมอีกเช่นกัน  เพิ่งถูกนำกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อเร็ว ๆ  นี้  Theme ของผมสำหรับการลงทุนครั้งนี้ก็คือ  การลงทุนในหุ้นถูกแบบ เบน เกรแฮม  ซึ่งก็เป็นการลงทุนแนว VI ที่ผมเคยใช้ในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ 20 ปีก่อน  เหตุผลของผมก็คือ  เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงมาก  หุ้นเติบโตนับวันจะมีน้อยลงและถ้ามีก็มักจะมีราคาที่แพงเกินไปเพราะนักลงทุนในเวลานี้ต่างก็เน้นการเก็งกำไรและเล่นหุ้น Growth เป็นหลัก 

 

การลงทุนที่หวังผลตอบแทนสูงในตลาดหุ้นไทยนั้นผมคิดว่าทำได้ยากขึ้นมาก  ดังนั้น  ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอนโดยเฉพาะที่ให้ปันผลตอบแทนสูงนั้นน่าจะปลอดภัยกว่า

 

   

ผมเองยังไม่รู้ว่า Theme การลงทุนสองครั้งหลังนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ จนกว่าเวลาจะผ่านไปพอสมควร  บางทีอาจจะอีก 2-3 ปีข้างหน้า 

ต่การมี Theme ของการลงทุนนั้น  มันช่วยให้เรามีกรอบคิดที่ชัดเจนและมันทำให้เรารู้ว่าเรา  “ชนะ”  หรือ  “แพ้” แต่ละครั้งด้วยเหตุใด  เพื่อที่ว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่จะสะสมและช่วยให้เราเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นได้ในระยะยาว

 

ขอบคุณบทความจาก : http://board.thaivi.org โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง