กองทุนอินเดีย ... นี้น่าซื้อไหม ?
ตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นมาแบบนี้ควรขายกองทุน ... ทิ้งเลยดีไหม ?
คำถามหลักๆที่เห็นได้ตามเพจความรู้กองทุนรวม…ซึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับจังหวะการลงทุนทั้งสิ้น
คำตอบของคำถามเหล่านี้ อาจทำให้คุณได้กำไรบ้างในช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันจะไม่ทำให้พอร์ตการลงทุนเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณได้กำไรอย่างยั่งยืนคือ "การกระจายพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม หรือ Asset Allocation" แล้วถือไปให้ยาวเพียงพอ (ตราบที่พื้นฐานกองทุนยังดีอยู่ ... ได้ 4-5 ดาวอย่างสม่ำเสมอ)
การกระจายการลงทุน Asset Allocation ไม่ได้ช่วยให้เราได้กำไรสูงสุด แต่จะช่วยให้เราถือกองทุนได้ยาวๆ…เพราะเงินเราไม่ได้ไปลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่ง แค่เพียงที่เดียว เพราะไม่มีใครบอกได้หรอกว่าประเทศที่เราลงทุนอยู่จะดีตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่นในปี 2558 คนซื้อกองทุนหุ้นไทยแถมเป็นกองทุนที่เก่งเป็นอันดับต้นๆเลยก็ยังขาดทุน เพราะในปีนั้นตลาดหุ้นไทยติดลบประมาณ 15% ถ้าคุณมีการลงทุนแต่ในหุ้นไทยอย่างเดียวปีนั้นต่อให้เลือกกองทุนที่เก่งที่สุดก็ยังขาดทุน …
แต่ถ้าปีนั้นคุณมีการกระจายการลงทุนโดยไม่ได้ลงทุนแต่ในหุ้นไทย มีการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นบ้าง ลงทุนในหุ้นเยอรมันบ้าง พอร์ตการลงทุนก็น่าจะขาดทุนไม่เยอะ หรืออาจไม่ขาดทุนเลยเพราะตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นเยอรมันปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10% (แต่ขอร้องให้มองผลตอบแทนเป็นพอร์ตรวมนะครับ เพราะเราจะชอบไปมองตัวที่ขาดทุนอย่างเดียว)
ถ้าเราเข้าใจแล้วว่าเราต้องกระจายเงินลงทุน เราจะเจอคำถามถัดไปทันทีว่า แล้วจะแบ่งเงินอย่างไรดี ???
คำถามนี้ต้องถูกตอบด้วยหลักเกณฑ์ของ Value Investor ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ แต่เปลี่ยนจากการคัดหุ้นพื้นฐานดีมาเป็น คัดประเทศพื้นฐานดีแล้วก็กระจายเงินลงทุนไปให้เหมาะสม แล้วก็ถือไปยาวๆแบบไม่ต้องปรับพอร์ต
ที่ต้องเน้นเรื่องถือไปยาวๆแบบไม่ต้องปรับพอร์ตเพราะว่าถ้าเราพยายามปรับพอร์ตตามข่าวสารที่ออกมา เราจะถูกข่าวสารหลอกจนทำให้เราไปขายในเวลาที่ไม่ควรขาย และซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อ (ถ้าเราไม่รู้จริงๆว่าข่าวที่ออกมากระทบกับพื้นฐานของประเทศจริงๆ...อย่าปรับเลยยย)
สำหรับคนที่มีประสบการณ์ ซื้อๆขายๆกองทุนรวมมาสักพักแล้ว อยากให้ลองย้อนไปพิจารณาดูว่า เงินลงทุนในกระเป๋าของคุณโดยรวมแล้วเพิ่มขึ้นไหม แล้วเพิ่มขึ้นเท่าไร เยอะกว่าการซื้อกองทุนดีๆสัก 2-3 กอง แล้วทนถือไปสัก 3-5 ปี
ที่ต้องตั้งคำถามนี้เพราะว่า อยากจะชวนทุกๆท่านคิดไปพร้อมๆกันว่า การที่ท่านได้รู้สึกดีกับการซื้อๆขายๆ … ตัวที่ได้กำไรขายทิ้ง แต่ตัวที่ไม่ดีเก็บไว้ในพอร์ต … เคยลองคิดไหมว่าถ้าไอ้พวกตัวที่เคยขายได้กำไรไปแล้วถ้าถือถึงวันนี้ท่านจะมีเงินเท่าไร ???
ส่วนใหญ่เวลาคนได้กำไรจากการลงทุนก็จะไม่ได้ย้อนถามตัวเองหรอกว่า ตกลงที่ฉันได้กำไรมาเพราะอะไร ฉันดวงดี (ซื้อถูกจังหวะพอดี) หรือจริงๆแล้วฉันเข้าใจการลงทุนอย่างแท้จริงแล้ว
นี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไปเพราะ เรื่องของการลงทุนมันมีส่วนประกอบของอารมณ์ แค่กำไรก็ดีแล้ว ยังต้องมาคิดอะไรอีก จริงไหม..แต่ที่ต้องชวนทุกคนคิดเพราะถ้าเราไม่รู้ว่าเราได้กำไรเพราะอะไรมันจะไม่ยั่งยืน เพราะเมื่อเราคิดว่าคราวที่แล้วซื้อแบบนี้ก็ได้กำไร ทำแบบเดิมก็น่าจะได้กำไรเหมือนเดิม
แต่...........ถ้าคราวที่แล้ว ถ้าการได้กำไรมาจากดวงละ (ซื้อในจังหวะที่ดีพอดี) แต่คราวนี้จังหวะไม่ดีเหมือนเดิม เราก็จะไม่ได้กำไรเหมือนเดิม T_T
โดยสรุปถ้าอยากให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน เราต้องมีการกระจายเงินลงทุนอย่างเหมาะสม (Asset Allocation) โดยเลือกประเทศที่พื้นฐานดีตามแนวทาง Value Investor ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ แล้วก็ทยอยซื้อตามเทคนิค Dollar Cost Average และสุดท้ายก็ถือไปตราบที่พื้นฐานกองทุนยังดีอยู่ เท่านี้ยังไงคุณก็จะประสบความสำเร็จในการลงทุนแน่นอน ...
เขียนโดย คุณรุ่งโรจน์ แก้วกาญจนา
วิทยากร stock2morrow
======================
หลักสูตร “เปิดมิติกองทุนรวม...ใช้กองทุนอย่างไรได้ประโยชน์สูงสุด"
ทำไมต้องเรียนกองทุน : เพราะกองทุนเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้นักลงทุนประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ปัจจุบันข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมเยอะมากๆ จนทำให้ไม่เข้าใจว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องรู้ในการลงทุนในกองทุนรวม
สิ่งที่ได้ผู้เรียนทุกคนจะได้จากการเรียนหลักสูตรนี้ คือ:
1) แนวทางการนำกองทุนรวมไปใช้อย่างถูกต้อง เช่น เทคนิคการจัดพอร์ต, เทคนิคการเลือกกองทุน
2) ได้รู้จักจุดเด่นของเครื่องมือกองทุนรวมต่างๆในตลาด เช่น Wealthmagik, Nomura iFund, Morningstar
>>..จอง ดูรายละเอียดคอร์ส คลิก ที่นี่..<<