เดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเข้าร่วมเสวนาในงาน Thailand Investment Fest 2017 ซึ่งปีนี้จัดที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “หุ่นยนต์ A.I. กับการลงทุนในยุคดิจิทัล” อาจมีหลายประเด็นที่ผมได้ร่วมแชร์บนเวที แต่มีอยู่ 3 ข้อหลักที่ผมเน้นเป็นพิเศษ มีอะไรบ้าง มาลองดูกันครับ
1. Smart Investor ลงทุนให้ถูกที่ ถูกเวลา
“โรบอท” อาจจะฟังดูไฮเทค ดูล้ำสมัย ดูเป็นเทคโนโลยีที่ “Smart Investor” ควรมีไว้ในครอบครอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนแบบชาญฉลาดนั้น คือ การเข้าถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลงทุน ซึ่งก็คือ “ผลตอบแทนสูง ในระดับความเสี่ยงที่รับได้”
ถ้าเทรดมือเองแล้วได้กำไรตามเป้า ก็ควรเทรดเองต่อไป
ถ้าใช้โรบอทช่วยเทรดแล้วได้กำไร ก็ใช้โรบอท
ถ้าเทรดหุ้นต่างประเทศได้กำไรมากกว่า ก็โยกเงินไปตลาดต่างประเทศ หรือ
ถ้ามองว่าอสังหาฯ กำลังเริ่มกลับมาก็ใส่เงินกลับเข้าไป…
“การทำให้เงิน อยู่ถูกที่ ถูกเวลา” นี่ต่างหากคือหลักคิดของ “Smart Investor”
2. โรบอทกับการลงทุน
ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าทำไมถึงต้องการใช้โรบอท? ใช้เพื่อความโก้เก๋ หรือ ใช้เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการลงทุน?
สังเกตุไหมครับ ในงานอะไรก็ตาม หากขั้นตอนการทำงานมันมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว จะไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องใช้โรบอท โรบอทจะมีความสำคัญก็ต่อเมื่องานนั้นๆ ยังคงมี “จุดบอด”ที่ควรแก้ไข เช่น ในการลงทุน เราเสียเวลากับการเฝ้าหน้าจอมากไปหรือเปล่า? ผลตอบแทนที่ได้มาคุ้มกับแรงที่ใส่ลงไปหรือเปล่า? รวมถึง จุดด้อยประสิทธิภาพที่เลวร้ายที่สุดในการลงทุน ซึ่งก็คือ การไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้ เพราะ คุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
เมื่อรู้ว่านี่ คือ จุดด้อยของการลงทุนของเรา “Smart Investor” ก็จะรู้ว่าโรบอทจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้อย่างไร
ผมขอให้มองว่า “โรบอท” เป็นเทคโนโลยีตัวหนึ่ง ทำงานเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวด้านการลงทุนให้เรา มันจะคอยมอนิเตอร์สภาพตลาด มองหาหุ้นที่เข้าข่ายซื้อหรือขาย พร้อมทั้งส่งคำสั่งซื้อขายให้เรา โดยเราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย สังเกตุว่า
(1) เราไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ (2) โรบอทที่ถูกพัฒนามาดีจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ และ (3) อารมณ์ถูกตัดออกไปจากการลงทุน
พอจะเห็นภาพไหมครับ ว่า โรบอท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนของคุณได้อย่างไร
3. แล้ว A.I. นำมาใช้งานตรงไหน
อาจมีคำถามตามมาว่า แล้วโรบอทรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวไหนควรซื้อ หุ้นตัวไหนควรขาย ?
ถ้าผมพอจะแยกกลยุทธ์การซื้อขายนี้ออกเป็น 2 ยุคใหญ่ๆ จะได้เป็น ยุคแรก เราเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขต่างๆ ให้โรบอท เรียกว่า condition-based system เช่น หากเราเป็นนักลงทุนสาย V.I. ก็อาจจะกำหนดให้โรบอทจับจังหวะเข้าซื้อเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานดี คัดกรองจากค่า PE หรือ ROE เป็นต้น ในขณะที่สายเทคนิคก็อาจใช้อินดิเคเตอร์ต่างๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ย หรือรูปแบบของราคาในการเข้าซื้อขาย
สำหรับยุคที่สอง เป็นเวลาของ Artificial Intelligence หรือ A.I. ด้วยในปัจจุบัน เราใช้ชีวิตอยู่กับ Big Data ว่าด้วยข้อมูลขนาดมหาศาลในหลากหลายรูปแบบ พร้อมให้เราเข้าไปเรียนรู้ผ่านกระบวนการฝึก (training) ในรูปแบบต่างๆ เพื่อขุดค้นหาความสัมพันธ์ในมิติที่คนทั่วไปอาจมองข้ามไป เป็นการเสาะหา “Intelligence” หรือความฉลาดจากกองข้อมูลขนาดใหญ่นั่นเอง
นี่คือเทรนด์การลงทุนที่มาแรงมากในปัจจุบัน และเชื่อว่าในอนาคต โรบอท A.I. จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ทั้งนั้น การสร้างโรบอทสักตัวที่ฉลาดและสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมนักพัฒนาระบบต้องมีทักษะ ความเชี่ยวชาญ รวมถึง เข้าใจกระบวนการทดสอบที่เหมาะสม แล้วในครั้งต่อไป จะพามาลองดูแนวคิดและโครงสร้างของ “Blue Marlin Waldo” โรบอท A.I. ระดับกองทุนที่ Think Algo เพิ่งพัฒนาเสร็จสิ้นไปและเริ่มใช้งานจริงแล้ว
ปูเสื่อรอติดตามกันเลยครับ
บทความโดย ผศ.ดร. ศุภวัฒน์ สุภัควงศ์ (อาจารย์ Nine)