งบการเงิน เป็นสิ่งที่หลายๆคนอาจจะไม่ชอบนัก เพราะตัวเลขที่ซับซ้อนนับหลายๆครั้งก็ยากต่อการทำความเข้าใจ แต่หากเราต้องการจะเป็นนักลงทุนแล้ว การอ่านงบการเงินอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่งบการเงินถือว่าเป็นส่ิงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย วอเร็น บัฟเฟตต์ ได้กล่าวไว้คร่าวๆใจความว่า
งบการเงิน คือ ภาษาของธุรกิจ หากเราไม่ต้องการเรียนรู้ เราควรจะเอาเงินไปให้คนอื่นบริหาร
แต่ผมไม่อยากทำให้งบการเงินดูน่ากลัวจนเกินไป ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดมากนัก แต่เราเพียงจะต้องรู้บางอย่างเท่านั้นเพื่อที่จะเริ่มต้นนำไปปรับใช้กับการลงทุนได้ในเบื้องต้น
มีเพียงตัวเลขไม่กี่ตัวในงบการเงินที่เราต้องหาให้เจอก่อนการลงทุนเท่านั้น จริงๆแล้วการวิเคราะห์งบการเงินแบบลึกนั้นมีความจำเป็นไม่มาก ต่อการลงทุนเท่าไหร่นัก เนื่องจากการลงทุนมีสิ่งที่สำคัญกว่าการอ่านงบการเงิน นั้นก็คือการมองธุรกิจและการคาดการณ์อนาคตที่จะเกิดขึ้น
ในการเริ่มต้นอ่านงบการเงินนั้น ผมมีตัวเลขไม่กี่ตัวที่คิดว่าผู้เริ่มต้นศึกษาควรจะดูก่อนการลงทุน..
1. รายได้
เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหากเราต้องการจะทำธุรกิจหรือลงทุนก็ตาม รายได้นั้นเป็นสิ่งแรกๆที่เราควรจะรู้เพื่อเราจะสามารถดูภาพรวมได้ว่าธุรกิจดังกล่าวมีขนาดของกิจการประมาณเท่าใด แต่รายได้เดี่ยวๆนั้นไม่สามารถบ่งบอกอะไรได้มากนัก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำมาเปรียบเทียบกับตัวเลขอื่นๆ เช่นรายได้ย้อนหลังหลายๆปี เพื่อที่เราจะรู้ว่าธุรกิจมีแนวโน้มรายได้เป็นอย่างไร เราจะสามารถบอกได้ว่าธุรกิจมีแนวโน้มรายได้ที่มากขึ้นหรือลดลง และจากตรงนี้เราก็สามารถบอกได้ระดับหนึ่งว่าเป็นธุรกิจที่ดีหรือไม่
2. กำไรสุทธิ
กำไรสุทธิคือรายได้ที่หักต้นทุนและค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกหมดแล้ว เช่น เงินเดือนพนักงาน ภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าการทำการตลาด และอื่นๆ ล้วนแล้วจะถูกหักออกจากรายได้ ส่วนที่เหลือคือกำไรสุทธิ สาเหตุที่กำไรสุทธินั้นสำคัญเพราะว่าจริงๆแล้วเงินที่จะเหลือจากการทำธุรกิจก็คือกำไรสุทธิเท่านั้น หากธุรกิจไหนที่ทำแล้วไม่มีกำไรสุทธิก็เรียกได้ว่าไม่ค่อยดีนัก บริษัทไหนที่สามารถสร้างกำไรสุทธิได้เยอะๆก็ถือว่ามีความน่าสนใจ
กำไรสุทธิเดี่ยวๆนั้นก็แทบจะไม่สามารถบอกอะไรเราได้มากนัก จำเป็นต้องดูประกอบอย่างอื่นด้วย เช่นเราอาจจะหากำไรสุทธิของบริษัทย้อนหลังไปหลายปีเพื่อที่จะดูแนวโน้มว่าบริษัทมีกำไรที่มากขึ้นหรือน้อยลง และเราก็ควรจะนำไปเปรียบเทียบกับรายได้ด้วยว่าเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของรายได้ โดยส่วนใหญ่แล้วบริษัทที่สามารถสร้างกำไรได้เป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้นั้นมีความน่าสนใจมากกว่าบริษัทที่สามารถทำกำไรได้น้อย
3. หนี้สินและเงินทุน
ในการเริ่มทำธุรกิจ เราจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในการดำเนินงานทุกๆอย่าง ตั้งแต่การผลิต การจ้างงาน ค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายอีกหลายๆอย่าง ซึ่งการจะนำเงินมาจ่ายนั้นบริษัทจำเป็นที่จะต้องมีเงินสดหมุนเวียน อีกทั้งการลงทุนใหญ่ๆของบริษัทเช่นการซื้อที่ดิน การซื้ออาคาร การซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต ทั้งหมดล้วนแต่ต้องใช้เงินในการซื้อ บริษัทมีทางเลือก 2 ทางในการหาแหล่งเงินนั้นก็คือออกเงินทุนเองหรือยืมเงินผู้อื่น
แหล่งเงินทุนจากการยืมผู้อื่นนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่นการกู้เงินจากธนาคาร การออกหุ้นกู้ หรือกระทั้งการออกพันธบัตรก็เป็นการยืมเงินรูปแบบหนึ่ง การยืมเงินนั้นข้อดีคือไม่ต้องเสียสัดส่วนความเป็นเจ้าของในธุรกิจที่เราก่อตั้งขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าเรายังสามารถมีอำนาจในการบริหารอย่างเต็มที่เช่นเดิม แต่ข้อเสียคือเราจะต้องคืนเงินให้แก่เจ้าหนี้ของเรารวมทั้งจ่ายค่าดอกเบี้ยด้วย จุดที่สำคัญส่วนนี้คือบริษัทจำเป็นต้องมีเงินเพียงพอสำหรับจ่ายหนี้สินที่จะถึงชำระ หากบริษัทไหนไม่มีเงินพอที่จะจ่าย เป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง
แหล่งเงินทุนอีกอย่างหนึ่งคือเงินที่เราออกเอง โดยปกติแล้วแหล่งเงินทุนส่วนนี้ค่อนข้างมีความปลอดภัยกับบริษัทมากกว่าเพราะไม่มีกฏในการชำระคืนรวมถึงดอกเบี้ยเหมือนเช่นเงินยืม แต่ข้อเสียก็มีอยู่บ้างคือเมื่อเราต้องการขยายกิจการออกไปและหาผู้ร่วมทุนเพิ่ม เราจำเป็นที่จะต้องให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มแก่ผู้ร่วมทุนรายใหม่ ทำให้อำนาจในการบริหารของเราลดลง และนอกจากนั้นผลกระทบที่ตามมาคือแนวทางการดำเนินธุรกิจผู้ถือหุ้นหลายๆคนอาจจะต่างกันออกไป และเราก็จะต้องบริหารบริษัทให้ผู้ถือหุ้นทุกคนได้ประโยชน์ จากแหล่งเงินทุนทั้งสองแบบ สิ่งที่เราต้องดูก็คือบริษัทจะต้องมีเงินเพียงพอที่จะชำระเจ้าหนี้เมื่อถึงกำหนด เพราะไม่เช่นนั้นบริษัทอาจจะเสียเครดิตทางการค้า หรืออาจถูกฟ้องและมีผลกระทบต่อการดำเนินงานก็เป็นได้ โดยตัวและที่สามารถดูง่ายๆคือ หากบริษัทมีหนี้สินจากการยืมเงินน้อยกว่าเงินทุนของบริษัท (D/E) ในเคสนี้ถือว่ามีความปลอดภัย
นอกจากนี้หากเรารู้ว่าบริษัทมีสัดส่วนเงินทุนเป็นอย่างไร เราสามารถนำมาดูอัตราส่วนการสร้างกำไรต่อเงินทุนได้ (ROE) ส่วนนี้มีความสำคัญต่อนักลงทุนระยะยาวอย่างยิ่ง เนื่องจากในระยะยาวแล้วบริษัทที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมแก่เราส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรต่อเงินทุนในสัดส่วนที่สูงอย่างต่อเนื่อง นั้นหมายความว่ากำไรในแต่ละปีของบริษัทที่สะสมเพิ่มขึ้นสามารถนำไปสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
4. มีเงินไหลเข้าบัญชี
หากใครทำธุรกิจก็คงจะรู้ดีว่าเงินสดคือเส้นเลือด หากเลือดไม่เดินหรือไม่มีเงินสดธุรกิจก็จะไปไม่รอด บางครั้งหลายๆคนคงแปลกใจว่าธุรกิจที่มีกำไรดีควรที่จะมีเงินสด เหตุผลก็เพราะรายได้ของธุรกิจจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดการขาย ซึ่งแปลว่าธุรกิจได้รับเงิน ถูกแล้วธุรกิจได้รับเงินจึงเกิดรายได้ แต่อีกส่วนหนึ่งที่เราลืมไปก็คือบางครั้งธุรกิจได้รับเงินในรูปแบบของเงินเครดิตไม่ใช่เงินสด เหมือนเช่นที่เราไปซื้อของตามร้านค้าแล้วเราใช้บัตรเครดิตในการชำระสินค้า ร้านค้าดังกล่าวได้รับรายได้ทันที แต่เป็นในรูปแบบของเครดิต ซึ่งธุรกิจนั้นจะได้รับเงินสดจริงๆเข้าบัญชีหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของธนาคารผู้ออกบัตร
ในเมื่อเงินสดคือเส้นเลือดของธุรกิจ การรับเงินเป็นเครดิตโดยที่ยังไม่ใช่เงินสดถือว่าธุรกิจนั้นขาดเสียเลือด เพราะการดำเนินงานหลายๆอย่างของธุรกิจเช่นการจ่ายเงินเดือน การตลาดและอื่นๆ ธุรกิจจำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินสดแทบทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับว่ามีอำนาจต่อรองมากน้อย จะเริ่มสังเกตุได้ว่าปัญหาเริ่มเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจขาดเงินสดในมือ จึงเป็นที่มาว่าการลงทุนนั้นจำเป็นต้องดูว่าบริษัทนั้นมีเงินสดจากการทำธุรกิจ
5. เงินปันผล
ส่วนสุดท้ายที่ผมคิดว่าควรจะให้ความสำคัญคือเรื่องของเงินปันผล เมื่อเราลงทุนมีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าการลงทุนเรามีปัญหาหรือไม่นั้นก็คือเรื่องของปันผล เพราะบริษัทที่จ่ายปันผลนั้นแปลว่าธุรกิจสามารถทำกำไรได้จริงและบริษัทมีเงินสดที่จะจ่ายออกมาให้แก่ผู้ถือหุ้น ส่วนปันผลนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท โดยส่วนใหญ่แล้วบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโตจะจ่ายปันผลออกมาน้อยกว่าบริษัทที่เลยช่วงเติบโตมาแล้ว เนื่องจากบริษัทที่กำลังเติบโตต้องการนำเงินกำไรทีได้มาไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเงินปันผลก็จะเป็นเหมือนสิ่งปลอบใจหลังจากที่เราลงทุนไปแล้วและกำลังรอให้บริษัทเติบโตไปอย่างที่เราคาดหวัง
โดยสรุปแล้ว หากเราต้องการเริ่มลงทุน แต่ไม่รู้จะดูอะไรในงบการเงินเพราะตัวเลขนั้นเยอะเต็มไปหมด ผมอยากจะให้ลองเริ่มจากการหาตัวเลขอย่างที่กล่าวไปทั้งหมด 5 ข้อในการเริ่มต้น เพราะข้อมูลเหล่านี้จะทำให้คุณเห็นภาพรวมของธุรกิจได้ดีพอสำหรับการลงทุนในเบื้องต้นแล้ว และในการเริ่มต้นลงทุนคุณไม่ควรลงทุนกับธุรกิจที่เข้าใจยาก หากธุรกิจใดๆที่คุณสามารถเข้าใจได้ครบทั้ง 5 ข้อดังกล่าว นั้นแปลว่าคุณสามารถใส่ Watch list ไว้สำหรับรอการลงทุนได้ แต่หากบริษัทใดที่คุณไม่สามารถเข้าใจ 5 ข้อที่กล่าวไป คุณสามารถข้ามไปก่อนได้
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคุณจะต้องเข้าใจธุรกิจ เพราะการดูงบการเงินนั้นมีผลต่อการลงทุนเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ต่อให้คุณเข้าใจธุรกิจแล้วก็ยังไม่ใช่เวลาลงทุนเสมอไป เพราะต้นทุนที่คุณจะลงทุนนั้นมีผลต่อผลตอบแทนมากที่สุด