ทำไม Mark Zuckerberg นักธุรกิจอเมริกัน อยากจะซื้อสโมสรฟุตบอล และลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลอังกฤษ!?
ถ้าใครยังจำได้ ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่า Mark ยื่นข้อเสนอ 1,000 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 45,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แห่งพรีเมียร์ลีกอังกฤษ แต่สุดท้ายก็โดนปฏิเสธพร้อมบอกว่าให้เพิ่มเงินเป็น 2 เท่าแล้วค่อยมาคุยกัน
(จากการประเมินของ Forbes ระบุว่าทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มีมูลค่าทางตลาดอยู่ประมาณ 35,000 ล้านบาท)
ล่าสุดก็มีข่าวว่าเขาเตรียมเงินอีกกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อเตรียมประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกในอังกฤษ หรือกระทั่งถ่ายทอดสดไปทั่วโลก
ย้อนกลับไปในปี 1992 ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอยู่ที่ปีละ 1,700 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์รายล่าสุดในปี 2016 นั้นคือ Sky Sport และ BT Sport ที่ต้องควักกระเป๋าปีละ 70,000 ล้านบาท
ในเวลา 24 ปีนั้นค่าลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดเพิ่มขึ้นมามากถึง 41 เท่า!!
และหากคิดว่าเวลายี่สิบกว่าปีมันไกลเกินไป ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 ค่าประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดนั้นยังคงอยู่ที่ราวๆ ปีละ 26,000 ล้านบาท
เพียงแค่ 3 ปี เงินที่คุณต้องควักกระเป๋าจ่ายเพื่อการซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอดนั้นเพิ่มมาเกือบ 3 เท่า!!
ด้วยหลากหลายสาเหตุ ทั้งการที่มหาเศรษฐีจากต่างชาติมาเทคโอเวอร์สโมสรในอังกฤษ มีซูเปอร์สตาร์เข้ามาจำนวนมาก รวมถึงการทำการตลาดให้พรีเมียร์ลีกเป็นที่นิยมไปทั่วโลก นั่นทำให้เกิดเม็ดเงินผลประโยชน์มหาศาลตามมา
ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุกสโมสรในพรีเมียร์ลีกได้รับค่าลิขสิทธิ์เท่ากัน แม้แต่ทีมแชมป์หรือทีมตกชั้นมากถึงทีมละ 3,500 ล้านบาท มากกว่าลาลีกาของสเปนที่ได้ไป 1,900 ล้านบาท
นั่นทำให้ Mark เล็งเห็นถึงการเข้ามาเปิดโลกในธุรกิจนี้ ทั้งการซื้อสโมสรที่มีโครงสร้างที่ดีอยู่แล้วอย่างท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หรือการทุ่มซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอดสดบนเว็บไซต์ของตัวเองที่มีผู้ใช้กว่าเดือนละ 2,000 ล้านคน
สโมสรท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มีกำไรที่เพิ่มขึ้นมาตลอดในระยะหลัง เพิ่มจาก 6,100 ล้านบาทในปี 2010 กลายมาเป็นกำไร 10,000 ล้านบาทในปีล่าสุด เพิ่มขึ้นคิดเป็น 163%
ในขณะที่มูลค่าทางการตลาดของสโมสรก็เพิ่มขึ้นมาจากราวๆ 10,000 ล้านบาทในปี 2010 มาเป็น 35,000 ล้านบาทในปีล่าสุด แสดงถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ในแง่ของฟุตบอลก็เช่นกัน ทีมทำผลงานได้ดีขึ้น จากกลุ่มทีมที่ลุ้นอันดับต้นๆ ของตารางพรีเมียร์ลีก เพื่อไปเตะในฟุตบอลยุโรป กลายมาเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในช่วง 2-3 ปีหลัง แถมยังมีโครงการสร้างเยาวชนที่ดี เน้นนโยบายการซื้อนักเตะราคาไม่แพง ขายในราคาแพง รวมถึงจำกัดเพดานค่าเหนื่อยของนักเตะดังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จึงไม่แปลกใจว่าการลงทุนซื้อทีมนี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
วกกลับมาที่เรื่องของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ใครๆ ก็รู้ว่าเฟซบุ๊กนั้นใหญ่คับโลกเพียงใด และแพลทฟอร์มถ่ายทอดสดของเฟซบุ๊กก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เปิดตัวมา
Mark นั้นรู้ดีว่าผู้ผลิตคอนเท้นท์ผ่านทางหน้าจอทีวี เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับระบบไลฟ์บนเฟซบุ๊กมากขึ้น (กรณีของประเทศไทย เราก็จะเห็นว่ารายการ The Mask Singer ใช้ช่องทางนี้ได้อย่างประสบความสำเร็จ) นั่นทำให้เขาเริ่มคิดถึงการเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ผลิตรายการทีวี ช่องทีวี หรือกระทั่งบริษัทขายทีวี
นั่นก็คือการเป็น "ระบบทีวี" ซะเอง
ลองคิดดูว่าเมื่อไม่มีช่องทีวีที่ประมูลคลื่นสัญญาณแข่งกัน ไม่มีผู้ผลิตที่ไปขึ้นกับช่องต่างๆ แต่ทุกคนหันมาถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก ที่มีคนพร้อมจะดูอยู่ตลอดเวลา เม็ดเงินโฆษณาจะมากเพียงใด
ค่าโฆษณาของการแข่งขัน Super Bowl ซึ่งประมาณการณ์ว่ามีคนดูพร้อมกันราวๆ 115 ล้านคนตกอยู่ที่ 165 ล้านบาทต่อ 30 วินาที
หากเทียบกับสถิติฟุตบอลพรีเมียร์ลีกระหว่าง Manchester United และ Liverpool ในเดือนมีนาคม 2015 ซึ่งมีคนดูราวๆ 700 ล้านคนทั่วโลก มากกว่าถึงเกือบ 7 เท่า
สมมติว่าเฟซบุ๊กครอบครองตลาดตรงนี้ได้ เราคำนวณแบบกำปั้นทุบดินเล่นๆ แบบไม่สนปัจจัยอื่น ก็จะมีค่าโฆษณาราวๆ 1,000 ล้านบาทต่อ 30 วินาที
และอย่าลืมว่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเตะสัปดาห์ละ 10 คู่ เป็นระยะเวลา 38 สัปดาห์ รวมกันแล้วกว่า 380 คู่ เม็ดเงินตรงนี้จะมากมายมหาศาลเพียงใด
การประมูลครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในฤดูกาล 2019 ถึงเวลานั้นเราคงจะได้เห็นอะไรสนุกๆ แน่นอนครับ!!
-----------------------------------------
Cr. เพจ Billionaire Mindset - แนวคิดพันล้าน รวบรวมความรู้ในด้านการลงทุน การตลาด ธุรกิจ และแนวคิดดีๆ ของเหล่าผู้ประสบความสำเร็จ สรุปมาให้อ่านเพลินๆ ได้ทุกวันครับ
ที่มา : https://goo.gl/hR67eP