“Beta” คืออะไร ใช้ยังไง สำคัญตรงไหน คงจะเป็นคำที่นักลงทุนมือใหม่หลายท่านเกิดความสงสัย ไม่น้อยไปกว่า คำว่า Sharpe ratio ที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ ค่าเบต้า (Beta) หรือ Beta coefficient คือ ตัวเลขที่ได้จากการเปรียบเทียบระหว่างการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น 2 ตัว หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆที่เราต้องการเปรียบเทียบ ว่ามีทิศทางไปในทางเดียวกันหรือไม่ และสอดคล้องกันมากน้อยขนาดไหน สัมพันธ์กันมากเพียงใด  

 

ค่าเบต้าของหุ้นก็คือค่าความผันผวนของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราอยากใช้เปรียบเทียบหรืออ้างอิงนั่นเอง หุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นที่มีค่าเบต้าสูง ดังนั้น หากสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มาก เราก็ควรคาดหวังผลตอบแทนที่มากขึ้นตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้น A ค่าเบต้าเท่ากับ 1 และ หุ้น B มีค่าเบต้าเท่ากับ 2 หมายความว่า หุ้น B มีความผันผวนมากกว่าหุ้น A ดังนั้นหากต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนก็ควรจะต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

 

 

 

ถ้าเบต้า = 1 หมายถึง ค่าความผันผวนของตลาด ยกตัวอย่างเช่น หากค่าเบต้าของหุ้น = 3 ตามทฤษฎีแล้วหากตลาดปรับตัวลง 10% หุ้นดังกล่าวจะตกลง 30% (มีความผันผวนมากกว่าตลาดเป็นสามเท่า) หากค่าเบต้าของหุ้นเท่ากับ 0.5 : ตลาดปรับตัวลง 10% หุ้นดังกล่าวจะปรับตัวลงเพียง 5% (มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดครึ่งนึง) เบต้าสามารถคำนวณได้โดยใช้ Regression analysis (การวิเคราะห์การถดถอย) หากลองสังเกตุดูจะเห็นได้ว่ายิ่งค่าเบต้าเยอะความเสี่ยงยิ่งสูงเพราะมีความผันผวนมาก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนก็สูงขึ้นตามไปด้วย 

 

 

ค่าเบต้าสามารถหาดูได้จากที่ไหนบ้าง

 

เราสามารถดูค่าเบต้าของหุ้นได้จากหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์หุ้นต่าง ๆ หรือ จากโปรแกรมดูหุ้น เช่น efinance และ Aspen เป็นต้น 

ช่วงที่ Fund Flow ไหลเข้า หรือตลาดเป็นทิศทางขาขึ้น นักลงทุนควรเลือกหุ้น ที่ม่ีค่าเบต้าเท่ากับ 1 หรือสูงกว่า เพราะผู้ลงทุนต่างชาติ จำเป็นต้องลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ หรือ Market Cap. สูง

.

และเมื่อตลาดโดยรวม มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น การเลือกลงทุนในหุ้นม่ีค่าเบต้าสูง แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจะสูงกว่าตลาด แต่ขณะเดยวกันความเสี่ยงจากการลงทุนจะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

 

ข้อควรระวังในการใช้ค่าเบต้า

 

1.ค่าเบต้าเป็นการคำนวณจากข้อมูลในอดีต และเพราะว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อดีตจึงไม่สามารถสรุปอนาคตได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ ค่าเบต้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หุ้น A มีค่าเบต้าเท่ากับ 2 วันนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะเท่ากับ 2 ตลอดไป

 

2.สมมุติฐานของการใช้ค่าเบต้า คือ ตลาดมีประสิทธิภาพและราคาของหุ้นสะท้อนทุกอย่างออกมา แล้วหากว่าหุ้นเกิดตกขึ้นมาโดยที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยล่ะ? กำไรเท่าเดิม ราคาถูกลง แต่ค่าเบต้าสูงขึ้น นั่นหมายความว่าความเสี่ยงมีมากขึ้นจริง ๆ หรือเปล่า? เพราะว่าราคาไม่ได้ถูกนำเข้ามาคำนวณ หุ้นตัวเดียวกัน ค่าเบต้าเท่ากัน แต่ราคาไม่เท่ากัน จะมีความเสี่ยงเท่ากันหรือไม่?

 

3.ความเสี่ยงของเบต้ามาจากความผันผวน สมมุติว่านักลงทุนคนหนึ่งถือพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทน 3% ต่อปี ส่วนนักลงทุนอีกคนถือหุ้นบลูชิพที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี ให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% ต่อปี เวลาผ่านไป 10 ปี กำไรจริง ๆ หลังจากหักภาษีแล้วของผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่? แม้ว่าความผันผวนจะมีมากแต่นักลงทุนที่ถือหุ้นบลูชิพอยู่ก็มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าในเคสที่ว่าราคาที่ลงทุนนั้นสมเหตุผล ในกรณีนี้สรุปได้ว่าไร้ความเสี่ยงจากความผันผวน แต่มีความเสี่ยงจากการสูญเสียอำนาจการซื้อของเงิน

 

การลงทุนในหุ้นที่มีค่าความเสี่ยงสูงอาจสร้างผลกำไรให้ท่านนักลงทุนได้ดี แต่ก็สามารถทำให้ท่านนักลงทุนขาดทุนเป็นจำนวนมากได้เช่นกัน ในขณะที่ หากท่านนักลงทุนเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีการเติบโตทางธุรกิจสูง ท่านก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าโดยมีค่าความเสี่ยงต่ำกว่า แต่หากท่านนักลงทุนชอบแบบความเสี่ยงน้อยๆและได้ผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอ ท่านนักลงทุนก็สามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หรือ value stock การศึกษาค่าความเสี่ยงกับผลตอบแทนนอกจากจะช่วยท่านนักลงทุนในการตัดสินใจลงทุนแล้ว ค่าที่คำนวณได้ยังอาจบ่งบอกถึงคุณลักษณะของหุ้นแต่ละตัวได้อีกด้วย

 

แม้ว่าค่าเบต้าจะให้มุมมองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อราคาหุ้น แต่ความเสี่ยงทั้งหมดไม่ได้ถูกสะท้อนออกมาด้วยค่าเบต้า (Beta) เพียงอย่างเดียว ดังนั้นนักลงทุนควรดูข้อมูลอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย เพราะความผันผวนของราคาในมุมหนึ่งคือความเสี่ยง อีกอีกมุมก็เป็นโอกาสที่ทำได้กำไรด้วยเช่นกัน   

  

- Yoo -

อ้างอิง : hoondb.com , salamanderr.wordpress.com, Aspen