บัฟเฟตต์กับคำแนะนำ 4 ข้อในการลงทุน
1. "Widespread fear is your friend as an investor, because it serves up bargain purchases."
(การแพร่กระจายของความกลัวเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับนักลงทุน เพราะมันจะทำให้คุณซื้อในสิ่งที่คุณต้องการโดยมีส่วนลด)
นี้อาจจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จชอบเวลาตลาดหุ้นมีการปรับฐาน หรือถล่มลงมา เมื่อคนอื่นๆ ขายมันอย่างบ้าคลั่ง มันก็เป็นโอกาสอันดีสำหรับนักลงทุนที่มากประสบการณ์จะมองมันเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ ในไม่ช้าตลาดก็จะกลับมา ความผันผวนที่ขึ้นลงเป็นเรื่องของระยะสั้นเท่านั้น
อย่างที่บัฟเฟตต์ทำมันมาแล้วในปี 2008 ขณะที่ตลาดหุ้นถล่มอย่างไร้เหตุผล บัฟเฟตต์ใช้เงินกว่า 5 พันล้านเหรีนญ ซื้อหุ้น Goldman Sachs ทั้งหุ้นสามัญ และตราสารแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญที่ราคา $115. เขาถือมันโดยคาดว่าจะได้รับปันผลประมาณ 10% ต่อปี สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ เขาขายมันออกไปในตอนที่ตลาดดีสุดๆ ณ ราคา $250
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ในโลกการเงิน คนชอบทำอะไรเหมือนๆกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหวาดกลัวที่ชอบกลัวตามๆกัน ความสามารถในการเก็บอารมณ์ ทำใจให้สงบ และมองมันเป็นเรื่องระยะยาว นั้นคือความสามารถพื้นฐานสำหรับนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ
2. "Personal fear is your enemy."
(ความกลัวของคุณ คือศัตรูของคุณเอง)
จากการศึกษาของสถาบัน Dalbar บอกไว้ว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8.19% ซึ่งเก็บข้อมูลมาตลอด 20 ปี ตั้งแต่ปี 1996 -2015 แต่ทำไมนักลงทุนโดยเฉลี่ยถึงทำผลตอบแทนได้เพียงแค่ 2.11% เท่านั้น ทำไม?
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะมันเป็นเรื่องระดับสามัญสำนึกอยู่ที่แล้ว จะกำไรจากตลาดหุ้นจะต้อง "ซื้อต่ำ ขายสูง" แต่คนส่วนใหญ่กลับทำตรงกันข้าม ในขณะที่หุ้นขึ้นและขึ้นต่อไปเรื่อยๆ คนรอบข้างทำเงินได้มหาศาล แต่คุณกลับเป็นคนเดียวที่ทำเงินไม่ได้เลย คุณจึงหลงไปกับมวลชนซื้อตามพวกเขาเหล่านั้น แน่นอนว่าในราคาสูง
เมื่อทุกอย่างถูกมองในแง่ดีจนเกินไป มันก็เป็นเวลาของการระเบิดของฟองสบู่ การขายอย่างตื่นตระหนกทำให้ราคาสินทรัพย์ไหลลงมาอย่างรวดเร็ว และนั้นทำให้นักลงทุนขาดทุนมหาศาลสำหรับผู้ที่ซื้อสูง ในทางปฏิบัติแล้ว การทำตามฝูงชนจะทำให้คุณซื้อสูง และขายต่ำอยู่เรื่อยไป ดังนั้นแล้วอย่าปล่อยให้อารมณ์ของนายตลาด มาตัดสินใจการกระทำของคุณ
(Image : CNBC)
3. "What is smart at one price is stupid at another."
(อะไรที่คนฉลาดทำ มันอาจจะดูโง่เง่าสำหรับคนอื่น)
บัฟเฟตต์พูดถึงประโยคนี้ ตอนที่พูดถึงเรื่องการซื้อหุ้นคืนของบริษัทต่างๆ บัฟเฟตต์บอกว่าการซื้อหุ้นคืนที่ดีที่สุด คือ หุ้นนั้นซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าโดยเนื้อแท้ แต่สำหรับคนโง่แล้วเขาพร้อมจะซื้อคืนในทุกๆสถานการณ์โดยไม่สนใจความแพงของหุ้นเลย นั้นเป็นเรื่องโง่เขลามาก
อย่างไรก็ตามคำพูดนี้สามารถนำไปใช้ได้ในทุกเรื่องของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหุ้น บริษัทที่ดีขนาดไหนก็ตาม มันจะกลายเป็นการลงทุนที่เลวร้ายได้ ถ้าคุณซื้อมันในราคาที่แพงเกินไป
ดังนั้นจงเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง เข้าใจถึงมูลค่าที่แท้จริงของมันก่อนซื้อ ถ้าสินทรัพย์แพงเกินไป ให้เดินหนีจากมัน จำไว้ว่าไม่มีการลงทุนใด ที่ลงทุนได้ทุกราคา ..!
4. "We have made no commitment that Berkshire will hold any of its marketable securities forever."
(พวกเราไม่ได้บอกว่า สิ่งที่เบิร์กไซด์ซื้อจำเป็นที่จะต้องถือมันตลอดชีวิต)
นี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด คำพูดหนึ่งของวอเร็น บัฟเฟตต์ กล่าวว่า our favorite holding period is forever สินทรัพย์ที่ซื้อแล้ว เราพอใจที่จะถือมันตลอดไป แต่คนนำไปถอดความหมายผิดโดยเข้าใจว่าสิ่งที่เบิร์กไซด์ซื้อแล้ว จะต้องถือมันในพอร์ตตลอดไป
ในปีนี้ จดหมายถึงผู้ถือหุ้น บัฟเฟตต์ ได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดว่า..
การซื้อหุ้นของเบิร์กไซด์ มีความพอใจที่อยากจะถือมันตลอดไปอยู่แล้ว ถ้าความคิดดั้งเดิมของเขา คือ การซื้อเขาก็เต็มใจที่จะถือมัน ถ้าเหตุผลในการซื้อของเขาเปลี่ยนไป เขาก็พร้อมที่จะขายมันออกไป นั้นหมายความว่าถ้าพื้นฐานเปลี่ยนทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เขาก็พร้อมที่จะขายโดยไม่ลังเล
ตัวอย่างเช่น บริษัท Freddie Mac หุ้นตัวหนึ่งที่บัฟเฟตต์ซื้อในช่วงปี 90 หลังจากนั้น Freddie Mac ก็พยายามสร้างกำไรให้มากขึ้นโดยถือสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น บัฟเฟตต์เห็นว่ามันไม่ตรงกับความคิดของเขา เขาจึงขายมันออกไปในปี 2000 ซึ่งใช้เวลามากถึง 8 ปี ก่อนจะเกิดวิกฤตการเงินซึ่งพิสูจนแล้วว่า มูลค่าโดยเนื้อแท้คือทุกสิ่งในการลงทุน
ผู้เขียน : Matthew Frankel (The Motley Fool)
Image : HBR, CNBC
สรุปโดย : SiTh LoRd PaCk