#มือใหม่เริ่มลงทุน

สรุปความรู้เรื่องตราสารหนี้ / โดย เพจลงทุนแมน

โดย ลงทุนแมน
เผยแพร่:
504 views

สรุปความรู้เรื่องตราสารหนี้ / โดย เพจลงทุนแมน

 

ที่ผ่านมามีข่าวเบี้ยวหนี้ตั๋ว BE และมีคนรอบข้างผมหลายคนที่ซื้อ BE หรือ หุ้นกู้ แล้วไม่ได้รับเงินต้นคืน วันนี้จึงอยากมาอธิบายเรื่องนี้ ว่าทำไมเราต้องดูบริษัทด้วย ไม่ใช่แค่สนใจว่าดอกเบี้ยสูง

 

ตราสารหนี้ คือ การที่เราให้เงินคนอื่นยืมโดยที่มีระยะเวลาคืน (นึกภาพว่าคล้ายเงินฝากประจำ หรือ สลากออมสิน)

 

แล้วใครมายืมเรา?

 

คนที่ออกตราสารหนี้ได้นั้น ไม่ใช่ว่าเป็นคนทั่วไปจะออกได้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคาร และบริษัทเอกชน ทีนี้ก็คงจะนึกภาพออกว่าความเสี่ยงของตราสารหนี้ จะขึ้นอยู่กับผู้ที่มายืมเราด้วย

 

ถ้าเป็นรัฐบาลก็คงปลอดภัย แต่ถ้าเป็นบริษัทที่เน่าๆ มายืมเราก็คงเสี่ยงกว่า ความเสี่ยงของผู้ที่มายืมเรา เขาเรียกกันว่า “เครดิตเรตติ้ง”

 

ผมแนะนำให้ซื้อตราสารหนี้ในระดับเรตติ้ง A ขึ้นไป ถ้าขึ้นต้นด้วย B หรือไม่มีเรตติ้ง ควรถอยห่าง เพราะถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะสูงกว่าแต่เราอาจจะไม่ได้เงินต้นคืนเหมือนที่เป็นข่าวเร็วๆ นี้

 

 

แล้วถ้าเราซื้อตราสารหนี้ไปแล้ว เมื่อไหร่จะได้เงินต้นคืน?

 

คำตอบคือ เมื่อครบกำหนดอายุ ซึ่งอายุก็จะมีตั้งแต่ระยะสั้นไม่ถึง 1 ปี ไปจนถึง 3 ปี 5 ปี หรือล่าสุดไม่มีกำหนดการคืนเงินต้นก็มี

 

ตราสารหนี้ระยะสั้น (ไม่ถึง 1 ปี) ถ้าออกโดยรัฐ เรียกว่าตั๋วเงินคลัง (Treasury bill) แต่ถ้าออกโดยบริษัทเอกชน เรียกว่าเป็นตั๋วแลกเงิน PN (Promissory Note) หรือ BE (Bill of Exchange) ที่เขาบอกว่ากันว่าเบี้ยวหนี้ BE ก็คือบริษัทกู้เงินระยะสั้นแล้วไม่มีเงินมาจ่ายคืนเงินต้นนั่นเอง

 

สำหรับตราสารหนี้ระยะยาว (เกิน 1 ปี) ถ้าออกโดยรัฐ เรียกว่าพันธบัตร (Treasury Bond) แต่ถ้าออกโดยบริษัทเอกชน จะเรียกว่าหุ้นกู้ (Corporate Bond) ซึ่งข้อดีของตราสารหนี้ก็คือดอกเบี้ยจะมากกว่าเงินฝาก มากกว่าแค่ไหนขึ้นกับระยะเวลาที่จะคืนเงินต้น กับ ความเสี่ยงของผู้ยืม ถ้าระยะเวลายิ่งยาว ยิ่งดอกเบี้ยมาก ถ้าผู้ยืมยิ่งเสี่ยง ยิ่งดอกเบี้ยมาก

 

แต่ถ้าเราอยากถอนคืนก่อนกำหนดทำได้ไหม?

 

ถ้ายังไม่ครบอายุ เราจะไม่ได้เงินต้นคืน ยกเว้นว่าเราจะขายตราสารหนี้ต่อให้นักลงทุนคนอื่นในตลาดรอง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ตลาดรองของตราสารหนี้จะมีแต่นักลงทุนสถาบันที่เป็น ธนาคาร กองทุน หรือ บริษัทหลักทรัพย์ ไม่ได้มีนักลงทุนรายย่อยเหมือนตลาดหุ้น

 

ดังนั้นถ้าเราต้องการลงทุนในตราสารหนี้ โดยที่จะถอนเมื่อไหร่ก็ได้ เราสามารถลงทุนได้ในกองทุนรวมตราสารหนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าราคาของกองทุนจะเปลี่ยนไปทุกวันตามราคาตลาดตราสารหนี้ในแต่ละวัน ซึ่งก็อาจจะขาดทุนได้เช่นกัน

 

กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น จะมีราคาผันผวนน้อยกว่า และมีโอกาสขาดทุนน้อยกว่า กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว แต่ผลตอบแทนที่คาดหวังก็จะน้อยกว่าด้วย

 

ถ้ากองทุนรวมตราสารหนี้ไหนให้ผลตอบแทนมากๆ พึงระลึกไว้ว่ากองทุนนั้นอาจจะมีส่วนผสมของตราสารหนี้เอกชนอยู่มาก

รู้อย่างนี้แล้ว คราวหน้าเวลาเราจะลงทุนในหุ้นกู้ หรือ BE ให้ระวังไว้ให้ดีๆ ว่าเราจะไม่ได้เงินต้นคืน..

 

อ่านบทความทั้งหมดของลงทุนแมนได้ที่
https://www.facebook.com/longtunman/posts/179575082575108:0

 


 

เล่าเรื่องการลงทุน

แบบเข้าใจได้ง่ายๆ

ติดตามเพจลงทุนแมนได้ที่ 

https://www.facebook.com/longtunman/ 

 

 

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง